
“ถ้าคุณยอมแพ้ นั่นคือวันที่คุณตาย แต่ถ้าคุณยังไปต่อ — ยังจะมีโอกาสอยู่เสมอ”
เมื่อผู้คนได้ยินชื่อ แฟร์เท็กซ์ ในวันนี้ พวกเค้านึกถึงนักสู้ระดับโลก อุปกรณ์มวยระดับตำนาน และแบรนด์ที่ถูกสวมใส่อย่างน่าภาคภูมิใจในยิมทั่วโลก แต่เบื้องหลังความสำเร็จ เหนือกว่านวมและเข็มขัดแชมป์ คือเรื่องราวของความพยายาม ความเสียสละ และผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่เคยยอมแพ้ — แม้ทุกสิ่งรอบตัวบอกให้เขาหยุด
ชายคนนั้นคือ คุณจงเดชา บุษราบวรวงษ์ หรือ เสี่ยบรรจง ผู้ก่อตั้งอาณาจักรแฟร์เท็กซ์ และเรื่องราวของเขาไม่ใช่เป็นแค่เรื่องของธุรกิจ — แต่มันคือเรื่องราวของชีวิต ที่ถูกสร้างขึ้นจากความอดทน ความหลงใหล และการมีจุดมุ่งหมาย
นักสู้ ก่อนการขึ้นสังเวียน
การต่อสู้ครั้งแรกของเสี่ยบรรจงเกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อเขาอายุเพียงห้าขวบ เขาแพ้ แต่แทนที่จะเดินจากไปอย่างพ่ายแพ้ เขากลับให้คำมั่นกับตัวเองว่า
“ฉันจะฝึกมวยไทย ฉันจะไม่อ่อนแออีกต่อไป”
ตอนอายุหกขวบ เขาจึงเรื่มฝึกมวยไทย
ตอนอายุเก้าขวบ เขาย้ายไปเรียนหนังสือที่ประเทศฮ่องกง — ดินแดนที่เขาไม่รู้จักภาษา และไม่มีใครให้พึ่งพิง เขาเป็นคนนอก เป็นเป้าหมาย
เขาไม่สามารถป้องกันตัวด้วยคำพูดได้ แต่เขาใช้แม่ไม้มวยไทยได้ การกลั่นแกล้งจึงหยุดลง ตามมาด้วยการยอมรับนับถือ
“ถ้าคุณอ่อนแอ คนจะเหยียบย่ำคุณ” เขากล่าว “แต่ถ้าคุณแข็งแกร่ง พวกเขาจะเคารพคุณ”
นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของพละกำลัง แต่มันหมายถึงการยืนหยัดเมื่อโลกพยายามผลักคุณให้ล้มลง ทัศนคติแบบนี้จึงกลายมาเป็นรากฐานของทุกอย่างในชีวิตเขาต่อมา
ความฝันที่ไม่มีใครเชื่อถือ
หลังจากจบการศึกษา เสี่ยบรรจงกลับมาเมืองไทย มวยไทยในตอนนั้นมอบให้เขามากกว่าแค่ความมั่นใจ — มันให้ตัวตน จุดหมาย และเหตุผลในการก้าวเดินต่อไป
เขาจึงให้คำมั่นอีกครั้ง — ครั้งนี้ไม่ได้ให้ตัวเอง แต่เป็นกีฬามวยไทย
“วันหนึ่ง ถ้าฉันมีเงิน ฉันจะตอบแทนมวยไทย ฉันอยากให้โลกได้รู้จักศิลปะแขนงนี้อย่างแท้จริง”
เขาขอพ่อเปิดค่ายมวยบนที่ดินของโรงงานครอบครัว แต่พ่อของเขา ผู้เป็นนักธุรกิจหัวเก่า ปฎิเสธทันที
“ลูกเป็นนักธุรกิจ จะไปยุ่งกับมวยทำไม?”
แต่เสี่ยบรรจงไม่ยอมแพ้ เขาอธิบายว่า ถ้าเขาไม่ทำตามหัวใจ เขาจะเสียเวลา และหลงทาง แต่ถ้าเขาสร้างค่ายมวย เขาจะมีเป้าหมาย เขาจะตอบแทนวงการมวยที่เขารัก และได้อยู่เคียงข้างครอบครัว
ท้ายที่สุด พ่อก็ยอม และนั่นคือจุดเริ่มต้นของ แฟร์เท็กซ์
ธุรกิจที่ไม่มีใครต้อนรับ
ยุคแรกของแฟร์เท็กซ์ไม่สวยหรู ในเวลานั้น มวยไทยยังไม่เป็นกีฬาที่มีเกียรติอย่างทุกวันนี้ —มันเต็มไปด้วยการพนัน การโกง และการล้มมวย
ค่ายมวยส่วนใหญ่มีระบบใต้โต๊ะ แต่เสี่ยบรรจงไม่ทำแบบนั้น เขาไม่โกง ไม่เล่นพนัน ไม่ล้มมวย
เขาสร้างค่ายมวยบนพื้นฐานของคุณธรรม — และเพราะแบบนั้น เขาถูกมองว่าเป็นคนนอก ซื่อเกินไป ใสเกินไป
“ไม่มีใครเชื่อว่าผมจะอยู่วงการนี้ได้นาน”
แต่เขาอยู่ได้ — โดยต้องแลกมาด้วยทุกสิ่ง กว่าห้าสิบปีที่ผ่านมา เขาออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดของค่ายมวยด้วยทุนส่วนตัว ทุกเดือน เงินกว่าครึ่งล้านบาทหายไป โดยมีธุรกิจอืนเข้ามาช่วยแบกรับ ในขณะที่แฟร์เท็กซ์ขาดทุนอย่างต่อเนื่อง
“ผมไม่เคยได้เงินจากมวยไทยเลย แต่ผมไม่เคยยอมแพ้”
เขาเคยเจอช่วงเวลาที่ทำให้เขาหมดใจ ครั้งหนึ่งเขาจับได้ว่านักมวยและเทรนเนอร์เล่นพนันกันทั้งคืนแทนที่จะฝึกซ้อมมวย อีกครั้ง นักมวยที่เขาไว้ใจรับสินบนและล้มมวยต่อหน้าเพื่อนในค่ายร้อยกว่าคนที่มาเชียร์
ทั้งสองครั้งเขาต้องปิดค่ายมวย
แต่ทั้งสองครั้ง เขายังกลับมาใหม่
“ ถ้าคุณยอมแพ้ นั่นคือจุดจบ แต่ถ้าคุณสู้ต่อ — ยังมีโอกาส”
การล้ม — และการลุกขึ้นสู้
เมื่อเสี่ยบรรจงอายุ 60ปี คนส่วนใหญ่ในวัยนี้คงเกษียณและเริ่มวางมือจากงาน แต่เขาไม่ใช่คนแบบนั้น
รายได้หลักของเขาคือธุรกิจส่งออกเสื้อผ้าไปอเมริกาผ่านระบบโควตา เขาถือโควตาจำนวนมากจนสามารถขายได้สบาย และแม้กระทั่งแลกเปลียนโควตาเป็นกำไร
แต่วันหนึ่งระบบโควตาถูกยกเลิกโดยไม่ทันตั้งตัว เขาและหุ้นส่วนรู้ทันทีว่าจะไม่สามารถแข่งขันกับประเทศจีนที่มีกำลังผลิตที่สูงและต้นทุนที่ต่ำได้
พวกเขาจึงตัดสินใจปิดบริษัทฯขณะยังมีกำไรและไม่ขาดทุน เพื่อเลี่ยงการสูญเสีย ซึ่งต่อมาได้เกิดผลกระทบจริงกับเจ้าอื่นๆ
แต่คำถามที่เขาไม่อยากเผชิญหน้าก็เกิดขึ้น....แล้วต่อไปจะทำอะไร
เขามีค่ายมวยอยู่แล้ว แต่ในใจเค้าใฝ่ฝันถึงสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น — โรงแรม ฟิตเนส และศูนย์ฝึกมวยไทยระดับโลก
เขาลงทุนหลายร้อยล้านบาทบนที่ดินว่างเปล่าผืนหนึ่งในพัทยา สร้างโรงแรมหรู ศูนย์สุขภาพระดับหกดาว สระว่ายน้ำมาตรฐานโอลิมปิกครึ่งสระ และค่ายมวยแฟร์เท็กซ์ที่ไม่เหมือนใคร
เมื่อเงินลงทุนใกล้หมด เขากู้ธนาคารโดยอาศัยเครดิตดีที่สะสมมาหลายสิบปี แล้ว...วิกฤตก็เกิดขึ้นดังสายฟ้าฟาด
ประเทศไทยเกิดความไม่สงบทางการเมือง มีเหตุการณ์ความวุ่นวายและความรุนแรงเต็มท้องถนน การท่องเที่ยวพังทลายไม่ต่ำกว่า70% เอเยนซี่ที่รับปากว่าจะส่งลูกค้ามาพักที่โรงแรมเปิดใหม่ของเขากลับถูกส่งไปที่โรงแรมคู่ค้าเก่าแทน วันเปิดตัวโรงแรมจึงมีแต่รายจ่าย ไม่มีแขกเข้าพัก
และเขายังทำพลาดร้ายแรง --- เมื่อธุรกิจเสื้อผ้าปิดตัว ไม่มีรายได้คอยหนุนหลัง หนี้ก้อนใหญ่เริ่มสะสม ดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น เขาเกือบเป็นผู้ล้มละลาย
นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เสี่ยบรรจงรู้สึกย่ำแย่ที่สุด
“ผมถึงขั้นว่าเคยคิดที่จะจบชีวิตตัวเอง” เขาเล่าด้วยเสียงเบา
“ผมไม่เคยมีปัญหาเรื่องเงินมาก่อน อยู่ดีๆทุกอย่างก็หายไปหมด”
เขานึกถึงคนในครอบครัว พนักงาน และอีกหลายคนที่พึ่งพาเขา
“ถ้าผมตาย ใครจะดูแลพวกเค้า?”
เขาพยายามตั้งสติ หาความสงบ ความชัดเจนและทิศทาง มีคนบอกให้เขาเปลี่ยนชื่อใหม่ เขาก็ทำ เขาถึงขั้นเข้าวัดเพื่อบวชเป็นพระ—แค่เพียงระยะเวลาไม่กี่วัน — โดยหวังว่ามันอาจช่วยให้เขาปรับตัวเข้ากับบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าปัญหาของเขาได้
แต่แม้อยู่ในวัด เขาก็ยังอยู่นิ่งไม่ได้
ระหว่างการเทศนาตอนเช้า เมื่อพระสงฆ์วิพากษ์วิจารณ์ศาสนาอื่น หรือประณามผู้ที่เลี้ยงสัตว์เพื่อเป็นอาหาร เขาลุกขึ้นโต้แย้งในสิ่งที่เขาเชื่อว่ามันไม่ยุติธรรม เขาตั้งคำถาม — ไม่ใช่เพราะต้องการลบหลู่ แต่เพราะเขาเป็นคนแบบนั้น
สุดท้ายเจ้าอาวาสบอกครอบครัวเขาว่า
“เขายังไม่พร้อมที่จะเป็นพระ พาเขากลับบ้านเถิด”
เสี่ยบรรจงไม่สามารถทำเป็นนั่งเฉยอยู่ต่อไปได้ แต่เขาต้องการที่จะสู้
เขากลับบ้าน — หมดตัว เหนื่อยล้าและเต็มไปด้วยความกลัว — แต่เขายังลุกขึ้นมาอีกครั้ง
เขากลับไปหาธนาคาร ไม่ใช่เพื่อขอร้อง แต่เพื่อต่อรอง
“คุณจะยึดทุกอย่างก็ได้ บ้าน รถ ธุรกิจทุกอย่างของผม — แต่ถ้าคุณยึดไป คุณจะบริหารมันได้ไหม? แม้แต่ผมที่มีประสบการณ์ยังลำบาก ให้โอกาสผมเถอะ แล้วผมจะจ่ายคืน ถ้าผมล้มเหลว ค่อยยึดทุกอย่างไป”
ธนาคารยอม --- ผ่อนชำระ 20ปี
หลังจากนั้นจึงเป็นปีแห่งการต่อสู้อย่างเงียบๆ เขาทำงาน เขาล้มเหลว เขาร้องไห้คนเดียวตอนกลางคืน เริ่มใหม่อีกครั้ง ล้มอีกครั้ง และ...เดินหน้าต่อไปเรื่อยๆ
เขาใช้เวลา 20 ปีเต็ม
แต่ในที่สุด เขาจ่ายเงินคืนครบทุกบาท — หลายร้อยล้านบาท เขาสร้างอาณาจักรขึ้นมาใหม่ และวันนี้ เขายังสร้างรายได้มากกว่าช่วงที่เคยคิดว่าดีที่สุดในชีวิตด้วยซ้ำ
“ถ้าคุณโง่พอที่ฆ่าตัวตาย มันจบหมด ทุกคนที่พึ่งพาคุณก็พังไปด้วย แต่ถ้าคุณสู้ — ยังมีโอกาส ดูอย่างผมซิ ผมเริ่มใหม่อีกครั้งตอนอายุ 61 และผมยังทำได้ยิ่งใหญ่กว่าเดิมด้วยซ้ำ”
เมื่อโลกเริ่มหันมามอง
ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา เขาทำงานโดยไม่มีใครรู้จักหรือยกย่อง แต่แล้วบางสิ่งก็เปลี่ยนไป ---- การเติบโตของกีฬาต่อสู้ทั่วโลก โดยเฉพาะการนำของ คุณชาตรี ศิษย์ยอดธง และ ONE Championship ทำให้ศิลปะมวยไทยโด่งดังไปไกลกว่าพรมแดนของประเทศไทย
เพราะการแข่งขันถูกถ่ายทอดสดไปกว่า 190 ประเทศ ศาสตร์และศิลปะความแข็งแกร่ง และวัฒนธรรมของมวยไทยจึงได้ไปปรากฏอยู่ในห้องนั่งเล่น สนามยิม และสนามแข่งขันทั่วโลก
และเมื่อผู้คนเริ่มสนใจกีฬามวยไทย พวกเขาก็ได้รู้จักกับ แฟร์เท็กซ์ — ซึ่งอยู่คู่วงการมวยไทยเสมอมา
แฟร์เท็กซ์ไม่ใช่แบรนด์ใหม่ แต่เป็นผู้นำยุคบุกเบิก โลกเพียงแค่พึ่งตามทันเท่านั้น
อุปกรณ์มวยกลายเป็นไอคอน นักสู้กลายเป็นแชมป์ ชื่อของแฟร์เท็กซ์เริ่มเป็นที่รู้จัก
“เราอยู่ตรงนี้ก่อนใครๆ” เสี่ยบรรจงกล่าว “และเมื่อมวยไทยกลายเป็นกีฬาระดับโลก ชื่อเสียงของแฟร์เท็กซ์ก็ผงาดขึ้นมาเช่นกัน”
ไม่เคยหยุดต่อสู้ และไม่เคยหยุดให้
วันนี้เสี่ยบรรจงอายุครบ 81 ปี คนส่วนใหญ่ในวัยนี้คงหยุดทำงานและปล่อยให้คนรุ่นใหม่เข้ามารับช่วงต่อ แต่นั่นไม่ใช่เขา
ทุกวัน เขายังมาที่ค่ายมวย เดินตรวจทุกพื้นที่ของแฟร์เท็กซ์ที่พัทยา คุมนักมวยฝึกซ้อม ทักทายพนักงาน และยังคิดถึงก้าวต่อๆไป
เวลาคนถามว่า “ทำไมถึงยังไม่ยอมเกษียณ?” เขาเพียงแค่ยิ้ม
“ผมรอเวลานี้มา 50 ปีเชียวนะ จะหยุดตอนนี้ได้ยังไง?”
ความสำเร็จไม่ได้ทำให้เขาหยุดนิ่ง แต่มันทำให้เขามีแรงผลักดันมากขึ้น — และเขายังนำความสำเร็จนี้ตอบแทนคืนกลับสู่สังคมและผู้คนอีกด้วย
เขาช่วยสร้างคลินิกพยาบาลในหมู่บ้านกันดารห่างไกล สถานที่ที่ผู้คนเคยเสียชีวิตเพียงเพราะเดินทางไปหาหมอไม่ทัน เขาดูแลพนักงานเกษียณที่หลายคนแก่ชรา ป่วย และไม่มีใครดูแล แต่เขาไม่เคยลืม
“ผมไม่ได้สร้างแค่ธุรกิจ” เขากล่าว
“ผมกำลังสร้างสิ่งที่สามารถช่วยผู้คน —พนักงานของผม ชุมชนของผม ประเทศของผม”
สำหรับเขา แฟร์เท็กซ์ ไม่เคยเป็นแค่เรื่องของการสร้างเงินสร้างทอง แต่มันคือการสร้างความหมายและความแตกต่าง
มรดกตกทอดที่ยังดำรงสู้อยู่ต่อไป
ความฝันของเสี่ยบรรจงคือการให้แฟร์เท็กซ์ดำรงอยู่ต่อไปแม้เขาจะจากโลกนี้ไปแล้ว — ให้ลูกหลาน นักสู้และครูฝึกรุ่นต่อๆไปสานต่อชื่อเสียงและความเชื่อมั่นในสิ่งที่แฟร์เท็กซ์ยืนหยัด
เขารู้ว่าพวกเขาจะไม่ได้รับช่วงต่อจากบริษัทที่สมบูรณ์แบบ แต่พวกเขาจะได้สานต่อพลังแห่งการต่อสู้
และเขาก็หวังว่าพวกเขาจะรับมันไว้ด้วยพลังและจุดมุ่งหมายที่แน่วแน่เหมือนที่เขาทำมาทั้งชีวิต
แฟร์เท็กซ์ ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อชัยชนะที่รวดเร็วหรือง่ายดาย แต่มันถูกสร้างขึ้นเพื่อพิสูจน์ว่า
บางความฝัน...ก็คุ้มค่ากับความเจ็บปวด
บางการต่อสู้...ก็คุ้มค่ากับการฝ่าฟัน
“ตอนนี้ผมอาจจะยังไม่ใช่อันดับหนึ่ง” เขากล่าว “แต่พวกเราจะเป็นได้ซักวันหนึ่ง”
และเมื่อวันนั้นมาถึง มันจะไม่ได้เป็นเพียงแค่ชัยชนะของแฟร์เท็กซ์เท่านั้น แต่มันจะเป็นชัยชนะของทุกคนที่เคยถูกบอกว่า “คุณไม่มีวันทำได้”
จงมีแรงบันดาลใจ
แฟร์เท็กซ์ ไม่ได้เป็นแค่แบรนด์ธรรมดา
แต่เป็นสัญลักษณ์ของจิตใจที่ไม่ยอมแพ้ ในการลุกขึ้นสู้ทุกครั้งที่ชีวิตทำให้เราหกล้ม
และตอนนี้...เราต้องการฟังเรื่องราวของคุณบ้าง
หากมวยไทย หรือกีฬาการต่อสู้อื่นๆ เคยช่วยให้คุณเอาชนะความกลัว เสริมสร้างความมั่นใจให้กลับขึ้นมาใหม่ หรือช่วยพาให้คุณลุกขึ้นมายืนได้อีกครั้ง แบ่งปันมันกับเรา
ทุกเดือน เราจะคัดเลือกเรื่องจริงเพื่อเผยแพร่ลงบนเว็ปไซด์ของแฟร์เท็กซ์ รวมถึงช่องทางโซเชียลมีเดียของเรา เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้กับนักสู้ ครูฝึก และแฟนคลับทั่วโลก
เพราะที่ไหนสักแห่งในโลกนี้ อาจมีใครบางคนที่กำลังจะยอมแพ้
และเรื่องราวของคุณ...อาจเป็นเหตุผลที่ช่วยเขาไม่ให้ยอมแพ้
เล่าเรื่องราวของคุณให้เราฟัง
ส่งต่อแรงบันดาลใจให้โลก
“ถ้าคุณยอมแพ้ นั่นคือวันที่คุณตาย แต่ถ้าคุณยังไปต่อ — จะยังมีโอกาสอยู่เสมอ”